วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555

ตรวจแบตเตอรี่ด้วยตัวเอง

        บทนี้มาพบกับหัวข้อที่สองใน BEWAGON นั้นคือ E การตรวจความพร้อมของระบบไฟภายในรถยนต์ ซึ่งหัวใจก็คือแบตเตอรี่ในรถยนต์ของคุณกันนะครับ เริ่มตันง่ายโดยการบีบแตรและเปิดไฟหน้ารถเพื่อดูว่า แตรดังหรือไม่ และไฟสว่างมากพอหรือเปล่า ถือผิดปรกติก็เริ่มหาสาเหตุกัน
        การหาสาเหตุ เริ่มโดยการตรวจตรงขั้วและสายไฟที่ต่อกับขั้วแบต ว่าหลอมหรือไม่ ขั้วร้อนหรือไม่ มีเกลือเกาะที่ขั้วหรือไม่ ปริมาณน้ำกรดแห้งไปหรือเปล่า อาจจะเป็นที่ฟิวส์หรือหลอดไฟขาดก็เป็นได้ หากพบว่าเกิดมาจากสาเหตุดังกล่าว เรามาดูถึงวิธีแก้ไขกันเป็นส่วนๆ นะครับ


        แบตเตอรี่
        ในการใช้งานของแบตเตอรี่รถยนต์เมื่อเวลาผ่านไปน่าน มักจะพบว่าขั้วหลอมบ้าง เกิดเกลือเกาะบ้าง ขั้วหลอมเราก็ขันให้แน่น แต่ถ้าเกิดเกลือเกาะขั้วแบตจะทำอย่างไร มาดูกัน แต่ก่อนนั้นมาดูสาเหตุของการเกิดเกลือที่ขั้วแบต เพื่อเข้าใจและหลีกเลี่ยงการเกิดเกลือเกาะที่ขั้วแบต การที่เกลือเกาะขั้วแบตเกิดจากพฤติกรรมการเติมน้ำกลั่นในปริมาณมากเกินไปทำให้น้ำกลั่นล้นซึมออกมา เมื่อไดชาร์จทำงานกรดในแบตจะเดือดและระเหยออกมาเปื้อนขั้ว และกัดขายึดขั้วแบตเตอรี่ ปรากฏเป็นคราบเกาะขึ้น
        การทำความสะอาดขั้วแบตทำได้โดยใช้น้ำร้อนราดที่ขั้ว จากนั้นทำความสะอาด แล้วใช้จาระบีทาที่ขั้วเพื่อป้องกันคราบเกลือ หากจะถอดขั้วแบตเตอรี่เพื่อทำความสะอาด ควรถอดขั้วลบก่อนถอดขั้วบวก  การถอดขั้วแบตควรใช้เครื่องมือที่เหมาะสม ไม่ควรใช้ค้อนตอก หรือไขควงงัด เพื่อป้องกันขั้วแบตเสีย การทำความสะอาดขั้วใช้แปรงลวดหรือกระดาษทรายปัดเฉพาะขั้วแบต เวลาใส่ก็เริ่มจากขั้วบวกก่อนขั้วลบหากใส่ขั้วไม่เข้าควรใช้คีมถ่างขั้วช่วย ใส่ขั้วให้สนิทขันน็อทให้พอดี ไม่ควรใช้ค้อนตอก เพื่อป้องกันแผ่นธาตุในแบตหลุด ทำให้แบตเสียหาย
        ข้อควรระวัง ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับขั้วด้วยมือเปล่า
        การตรวจระดับน้ำกรดในแบตเตอรี่ ควรตรวจระดับน้ำกรดในทุกช่องของแบตเตอรี่ว่าอยู่ในระดับท่วมแผ่นธาตุหรือไม่ หากน้ำกรดแห้งควรเติมให้ท่วมแผ่นธาตุที่ประมาณ 1 เซนติเมตรหรือให้พอท่วมแผ่นธาตุ ไม่ควรเติมจนเต็ม เพื่อป้องกันขั้วแบตถูกกัดกร่อน เติมเสร็จแล้วปิดฝาแบตเตอรี่ให้แน่น การตรวจระดับน้ำกรดควรตรวจทุก 1 สัปดาห์ หรือทุกครั้งที่ีเติมน้ำมัน
        การตรวจว่าไฟแบตรั่วหรือไม่ ในบางครั้งอาจเกิดปัญหาแบตหมดเร็ว แน่นอนปัญหาย่อมเกิดจากไฟรั่ว การตรวจเซ็ดสามารถทำได้โดยใช้หลอดไฟขนาดโวลต์เท่ากับแบตเตอรี่ (12 โวลต์) หรือ อุปกรณ์วัดแรงดัดไฟฟ้า เริ่มการตรวจโดยปิดระบบไฟภายในรถให้หมด จากนั้นถอดขั้วบวกแบตออก ใช้สายคีบของหลอดไฟด้านหนึ่งคีบที่ขั้วบวกแบต อีกสายหนึ่งคีบที่สายไฟระบบรถยนต์ ถ้าไฟติดแสดงว่าไฟรั่ว การแก้ไขควรพบช่างที่ชำนาญ

      


       คราวหน้ามาต่อกันที่ระบบฟิวส์และการเปลี่ยนหลอดไฟด้วยตนเองนะครับ

                                                  

การตรวจสภาพระบบเบรกด้วยตนเอง



 ในบทที่แล้วเราได้กล่าวถึงหลักการตรวจสภาพความพร้อมของรถยนต์โดยใช้คำย่อว่า BEWAGON กันไปแล้ว ในบทนี้จะกล่าวถึงตัว B ซึ่งเป็นหัวข้อเกี่ยวกับการตรวจระบบเบรกกัน โดยทั่วไปเราจะรู้กันแต่ว่าเปลี่ยนผ้าเบรกเมื่อถึงรอบอายุการใช้งานที่ 50,000-80,000 กิโลเมตร และรักษาระดับน้ำมันเบรก น้ำมันคลัตซ์โดยเติมให้อยู่ในระหว่างระดับ Max และ Min กัน ในบทนี้ผมอยากแชร์เพิ่มเติมขึ้นอีกนิดนะครับ               
เริ่มที่น้ำมันเบรกกันก่อน น้ำมันเบรกมตรฐานจะแทนด้วยระหัส DOT ซึ่งย่อมาจาก Department of Transportation หรือเรียกว่ากรมการขนส่งทางบกของสหรัฐอเมริกา น้ำมันเบรกจะแบ่งตามลักษณะของรถยนต์ คือ DOT3 ใช้ในรถยนต์ทั่วๆไป  DOT4 ใช้ในรถยนต์ที่ใช้ระบบเบรกABS และ DOT5 ใช้ในรถยนต์สมรรถนะสูง
การใช้น้ำมันเบรกควรระมัดระวัง เนื่องจากอาจเกิดอันตรายต่อดวงตา และสีของรถยนต์ ไม่ควรใช้น้ำมันเบรกที่เปิดทั้งไว้เกินกว่า 1 ปี เนื่องจากความชื้นและอากาศทำให้เกิดกรเสื่อมสภาพในน้ำมันเบรก ห้ามใช้น้ำมันหล่อลื่นเติมแทนน้ำมันเบรก  ไม่ควรเติมน้ำมันเบรกต่างยี่ห้อปนกัน เว้นกรณีฉุกเฉิน หากพบว่าในน้ำมันมีสีดำทั้งที่พึ่งเปลี่ยนแสดงว่าลูกยางเบรก ลูกยางคลัตซ์เสื่อม ให้เปลี่ยนลูกยาง  ในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกควรเปลี่ยนทุก  2 ปี
ข้อสังเกตหากระดับน้ำมันเบรกพร่องเร็วผิดปรกติ เกิดจาก รั่วที่ลูกยางในแม่ปั้มเบรก รั่วที่ลูกยางในปั้มล้อหรือรั่วที่ลูกยางซีลในคาลิเปอร์ หรือเกิดรั่วที่ท่อยางเบรก
ทีนี้มาดูที่ตัวเบรกกัน เริ่มที่ตรวจระยะฟรีของแป้นเบรก ทำการตรวจในขณะที่ดับเครื่องโดยย้ำเบรกหลายๆ ครั้ง จากนั้นค่อยๆ เหยียบลงไปเบาๆ จนพบว่ามีแรงต้าน วัดระยะดังกล่าว ซึ่งระยะฟรีที่ดีควรจะอยู่ในช่วง 0.25 – 0-5 นิ้ว หากน้อยกว่านี้จะมีผลให้ผ้าเบรกร้อนจัด ถ้าระยะฟรีมากจะทำให้การเบรกช้าเกินไป จากระยะฟรีก็ดูต่อที่ความสูงของแป้นเบรก ลองเหยียบ 2-3 ครั้ง ในขณะที่ดับเครื่อง เหยียบลงสุด วัดระยะพื้นรถกับแป้นเบรก ไม่ควรให้มรระยะน้อยไป การปรับแก้ควรให้ช่างที่ชำนาญช่วยนะครับ หรืออาจทำการทดสอบแบบง่ายๆ คือ ทดสอบเบรกแบบทันทีในขณะที่ขับรถที่ความเร็วไม่เกิน 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยจับพวงมาลัยแบบหลวมๆ สังเกตุพวงมาลัย ถ้าพวงมาลัยไม่หมุนถือว่าระบบเบรกปรกติ ถ้าหมุนไปทางซ้าย แสดงว่าเบรกล้อซ้ายเบรกเร็วกว่า และถ้าหมุนไปทางขวา แสดงว่าเบรกล้อขวาเบรกเร็วกว่า ควรปรับแก้โดยช่างที่ชำนาญนะครับ
มาดูข้อสังเกตุอื่นอย่าง เช่น ขณะเบรกมีเสียงดัง แสดงว่า ผ้าเบรกหมด ผ้าเบรกร้อนจัด มีเศษหิน กรวดเข้าจานเบรก ลูกปืนหลวม สึกหรอ หรือลูกยางเบรกเสื่อม
ที่กล่าวมาเป็นการตรวจและการสังเกตุเกี่ยวกับระบบเบรกที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง แต่ในการปรับแก้ควรให้ช่างผู้ชำนาญ ปรับแก้ให้นะครับ ไว้พบกันในเรื่องต่อไปนะครับ

วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

เหตุเกิดเมื่อเกิดอยากเขียน

          บทความที่เขียนขึ้นนี้เกิดจากความที่อยากจะแชร์กัน ในส่วนของประสบการณ์การดูแลรักษารถที่แสนรักของแต่ละท่าน หรือเพื่อเป็นแหล่งรวมความรู้ที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจและรักในรถของท่านเอง การดูแลเอาใจใส่ในรถนั้นนอกจากจะเป็นความสุขอย่างหนึ่ง แต่สิ่งที่ได้นั้นนอกจากรถของท่านจะมีสภาพดี สวย ใหม่เสมอแล้ว ยังเป็นการดูแลความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของท่านอีกด้วย



           ในชีวิตประจำวันที่น่าเบื่อและเร่งรีบ ทำให้เรามีเวลาน้อยลง การพึ่งพาบริการดูแลรักษาทำความสะอาดรถยนต์ที่มีในปัจจุบัน เป็นทางเลือกหนึ่งของคนในเมือง ผมไม่เถียงในเรื่องนี้ถ้าหลายท่านจะยินดีใช้บริการเหล่านั้นโดยไม่สนใจทำเอง เพราะไม่เสียเวลา แต่ถ้าคิดจะทำกิจกรรมเหล่านี้เองเรามาลองดูว่าเราจะต้องทำอย่างไรบ้าง ซึ่งไม่ยากเพียงแค่สนใจครับ
             เอาเป็นว่าเรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า ถ้าเราพูดถึงรถแล้ว การดูแลมันมีหลักง่ายๆ ซึ่งผมขอเรียกย่อๆว่า BEWAGON ซึ่งมาจากกิจกรรมการดูแลรักษารถที่คนรักนั้นคือ 
              B - Brake เป็นการตรวจสอบส่วนที่เกี่ยวกับระบบเบรก นั้นคือ ระดับน้ำมันเบรก
                   น้ำมันครัตซ์(ในระบบเกรียร์ธรรมดา)และเบรกมือ
              E - Electricity เป็นการตรวจสอบระบบไฟฟ้าระดับน้ำกรดในแบตเตอรี่
              W- Water เป็นการตรวจสอบระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ พวกระดับน้ำใน
                   หม้อน้ำ ถังพักน้ำสำรอง ถังน้ำล้างกระจก
              A - Air เป็นการตรวจสอบลมยาง รวมถึงสภาพโดทั่วไปของยางล้อรถยนต์
              G - Gasoline ตรวจสอบระดับน้ำมันเชื้อเพลิง
              O - Oil ตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องและการรอยซึม
              N - Noise ตรวจสอบเสียงเครื่องยนต์

             ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นคือหลักของการดูแลรักษาเพื่อให้รถของท่านมีสภาพที่พร้อมเสมอที่จะใช้งาน เท่าที่ดูรายการดังกล่าวบางท่านอาจคิดว่าเป็นกิจกรรมที่เสียเวลาแต่ถ้าท่านทำจนชินแล้วจะเห็นว่ามันใช้เวลาไม่นานเลยครับ เราเริ่มต้นกันแค่นี้ก่อนนะครับคอยติดตามต่อไปในบทหน้า
ในรายละเอียดของBEWAGON กันว่าทำจริงๆแล้วจะเป็นอย่างไร